[ X-FILE เรื่องลึกลับ ] [ ตายแล้วไปไหน ] [ ทางนฤพาน ] [ เวปกระท่อมธรรมะ ]
หากเราทำแต่กรรมดี เมื่อนั้น กรรมดีจะสนองเรา
  ผีปอบ 

        ...เมื่อไม่นานนี้ ข้าพเจ้าได้พบกับเรื่องผีๆ สางๆ มาหมาดๆ เลยทีเดียว ซึ่งเนื่องมาจากคุณแม่ของเพื่อนได้ป่วยตาย ในลักษณะอาการที่ประหลาด สันนิษฐาน
ว่าโดน ผีปอบ กินตาย ! ปกติข้าพเจ้าไม่ค่อยเชื่อเรื่อง ผีๆ สางๆ อยู่แล้วแต่คราวนี้มาเจอกับตัวเองก็เล่นเอางงไปเหมือนกัน.ต้องรีบเผ่นกลับบ้านเลยไม่ยอมค้างบ้าน เพื่อน ...ทั้งๆที่ตอนแรกตกปากรับคำกับเพื่อนแล้วว่าจะต้องค้างอยู่เป็นเพื่อน จนกว่าจะเสร็จงาน มาตอนนี้ไม่ยอมฟังเสียงแล้ว แม้ว่าเพื่อนจะอ้อนวอนสักแค่ไหน
ก็ตาม เพราะตัวเพื่อนเองก็ไม่กล้า เขาเป็นคนกลัวผีขึ้นสมอง ซึ่งตามปกติเขาไม่ได้พักอยู่กับพ่อแม่ประจำอยู่แล้ว เมื่อเขามารู้เรื่องทำนองนี้จากน้องเค้าอีก จึงยิ่งไม่
ยอมอยู่เด็ดขาด ถ้าไม่มีข้าพเจ้าอยู่ด้วย..!  ตกลงวันนั้น... ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน เราสองคน ก็ไม่ยอมค้างบ้านแม่เด็ดขาด !  พอดี... เรือเที่ยวสุดท้ายยังมี
อยู่ เพราะที่นี่มีเรือวิ่งวันละสองเที่ยวเท่านั้น เรื่องรถยนต์ไม่ต้องพูดถึงกว่าจะมาถึงถนนใหญ่นั้นลำบากมากทีเดียว นั่งเรือเร็วกว่า.. สรุปแล้วการสัญจรไปมาต้องนั่ง
เรือเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมากชาวบ้านเขาจะมีเรือจอดใต้ถุนแทบทุกบ้าน เพื่อนให้เหตุผล ที่ไม่ยอมค้างโดยไม่มีข้าพเจ้าว่า.." ฉันไม่กล้าอยู่คนเดียวหรอกแกเอ๋ย !
เพราะฉันไม่รู้ว่า ผีปอบมันจะแอบอยู่ส่วนไหนของบ้าน "  ข้าพเจ้าก็ได้แต่ปลอบ.. "ก็พ่อกับน้องก็อยู่ด้วยแกยังกลัวอะไรอีก !?"  เพื่อนส่ายหัวดิก ย้อนว่า ..
"น้องเรอะ ตัวของมัน เอาให้รอดก่อนเถอะ... ตัวมัน  มันก็กลัวจนหัวหดอยู่แล้ว จะช่วยอะไรฉันได้ !?"  "แล้วแกคิดว่าฉันจะช่วยอะไรแกได้บ้างล่ะ.. ฉันก็ปอดแหก
เหมือนกัน" "แต่แกยังมีคาถาดีๆ...หลายอย่าง ยังพออุ่นใจที่มีแกอยู่ใกล้ๆ" ข้าพเจ้าชักอ่อนใจกับเพื่อนคนนี้  "เป็นอันว่าแกจะตามฉันกลับว่างั้นเถอะ" ข้าพเจ้าถาม
"แน่นอน...! ฉันไม่อยู่ให้ใส้ฉันหายหรอก !!" "บ้า !.. พูดออกมาได้ยังไง" ข้าพเจ้าใจหายกับคำพูดของเพื่อน  ตกลงวันนั้นจึงมีแต่พ่อและน้องอยู่เป็นเพื่อน ศพแม่
ข้าพเจ้า ขอตัดตอนเพื่อเล่าถึงสาเหตุที่แม่เพื่อนจะโดน ปอบกิน เรื่องราวอาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกัน แต่ก็เป็นสาเหตุที่ต่อเนื่องกันมา จากเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้วที่แม่
ข้าพเจ้าได้ผจญกับผีปอบที่ท่าตะโก  "ผีปอบที่ท่าตะโก ดังไม่ใช่เล่น..."  แม่เล่าให้ฟังตอนแรก ข้าพเจ้าไม่ค่อยเชื่อ คือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เชื่อมากกว่าไม่เชื่อ 
เพราะสมัยก่อน "ผีเฮี้ยน" มากกว่าสมัยนี้ มากนัก เพราะบ้านเมืองไม่เจริญเหมือนในยุคปัจจุบัน  แม่เล่าว่า.."ผีปอบสองแม่ลูกกินเด็ก ซึ่งเป็นหลานของข้าพเจ้าเอง 
มันอาจต่อเนื่องกับปอบที่กินแม่ของเพื่อน และอาจเป็นปอบลูกหลานของปอบตนเดียวกันก็ได้เพราะปอบต้องมีการรับมรดกปอบ ถ่ายทอด..ไม่เช่นนั้นปอบตัวแม่
จะไม่ตาย เหมือนผีกระสือเช่นกัน  "และรายนี้อยู่ริมคลองเหมือนกัน " เมื่อประมาณปี พ.ศ.2470 ...นานมาแล้ว แม่ข้าพเจ้าเป็นชาวสวนขายของสวนไปตามเรื่อง 
ไอ้ที่ขานขึ้นหน้าขึ้นตา ก็มีหมาก นี่แหละเพราะคนสมัยก่อนชอบกินหมากกันทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง...  เพราะฉะนั้นเวลาจะไปขายหมาก ต้องไปขายแถวบ้าน
นอกชนบท พ่อกับแม่จึงไปขายที่ตลาดหัวตะโก หรือหนองแค เพราะที่นั้นขายดีกอปรกับว่ามีป้า พี่สาวแม่อยู่ที่นั้นด้วย และขายได้ราคาดีกว่าในกรุงเทพฯ
แม้ว่าการเดินทางจะลำบากสักแค่ไหนก็ต้องไป ตอนนั้นต้องเดินทางด้วยเรือ ต้องออกจากบ้านที่คลองในสวน ไปนอนค้างที่สะพานใหม่ 1 คืน พอตกเย็น เข็นเรือ
ในคลองหลักสี่ ซึ่งเป็นทางลัดกลางทุ่ง พอเข็นไปสักพักท้องเรือถูกกรวด แต่พ่อแม่ไม่รู้ พอแจวเรือไปถึงคลองหนึ่ง เรือจะจม ชาวบ้านร้องให้จอดโดยเอื้อเฟื้อให้
นอนค้างกับเขาที่บ้าน "จอดค้างที่นี่สักคืนเถอะ ค้างเสียบนบ้านฉันนี่แหละ"  คนสมัยก่อนใจดีมากเลย ครั้นรุ่งเช้า..ออกเรือโดยให้หมากเจ้าของบ้านไว้ 1 ทะลาย
ด้วยความสำนึกในบุญคุณ พายเรือจะไปประตูน้ำพระอินทร์ กว่าจะไปถึงก็พอดีประตูน้ำปิดต้องนอนค้างอีกหนึ่งคืน แม่ของข้าพเจ้าเป็นคนแปลก "ตอนหัวค่ำง่วง
นอน... พอครึ่งคืนไปแล้วตาสว่าง นอนไม่หลับ" พอตกดึกแม่เห็นมะพร้าวลอยมาข้างเรือเอื้อมมือจะไปหยิบแต่พ่อรีบปัดมือ ห้ามไม่ให้เก็บ "อย่าเก็บ ! มะพร้าว
เขาขโมยมาจากเรือลำข้างหน้าโน่น  เห็นไหม"  รุ่งเช้าออกเดินทางจนถึงที่หมาย พ่อเลยบอกกับแม่ให้ไปอยู่กับป้าบนฝั่ง โดยให้เหตุผลว่าเฝ้าเรือนั้นเป็นผู้หญิง
อันตราย พ่อจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง เวลานั้นแม่ท้องได้หกเดือนแล้ว แม่มาขึ้นฝั่งไม่มาเปล่าแต่ฉวยโอกาศเอาหมากมาขายด้วยโดยเอามาวางขายในตลาดโดย
อาศัยห้องว่างของป้ามาวาง แต่หารู้ไม่ว่า ห้องนั้นเป็นห้องของผีปอบสองแม่ลูก ยายแม่ชอบมานั่งคุยด้วย แต่แกไม่ยอมมองหน้าแม่ เพราะแม่มีตะกรุดห้อยคออยู่
ดอกหนึ่งเป็นนาก อีกดอกหนึ่งเป็นทอง และพระปรกใบมะขามอีกหนึ่งองค์ พอมาคุยไม่ทันไรเลย มาบอกให้แม่ถอดตะกรุดออก แม่ชักสงสัยว่าเป็นกงการอะไร
ของแกทั้งแม่ลูก ลงทุนอ้อนวอน "ถอดตะกรุด... ถอดพระออกเถอะแม่คุณ จะได้คุยกันใกล้ๆหน่อย !" แม่จึงถามว่า.. "ถ้าไม่ถอดแล้วมันเป็นยังไง"
นางปอบตัวแม่ตอบว่า "มันร้อนซิ... แม่คุณ" พอพูดแบบนี้ แม่ไม่ยอมถอดเด็ดขาด เพราะนึกสงสัยอยู่ในใจแล้วว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่....พอนำความไปเล่า
ให้ป้าฟัง ป้าเล่าว่า "นั่นแหละ ! ผีปอบทั้งสองแม่ลูก จงระวังให้ดี ! "  พอตกกลางคืน 
ความที่มันอยากกินแม่มันมาสำแดงเดชอยู่บนหลังคาเสียงโครมครามทั้งคืน ป้ากับแม่ตกใจตื่น อดรนทนไม่ได้ ทั้งสองคนลุกขึ้นไปดู .. ตกใจมาก ! เพราะเบื้องหน้า เห็นม้าตัวเท่าม้าแกลบ มายืนอยู่บนหลังคา  ป้าได้เอาไม้ตีพริก(สากกะเบือ)ขว้างขึ้นไป เมื่อเอาไม้สากกะเบือขว้างไป...ม้าก็หายวับไป   ป้าบอกว่า "ปอบมันกลัวสาก"  แม่พยายามขายหมากอยู่สามวันสามคืน รุ่งเช้าวันสุดท้ายหมากแม่ก็หมด แม่เตรียมกลับบ้าน  คืนนั้น...นางปอบก็ก่อเหตุไปกินแม่ลูกอ่อน
ข้างบ้านถูกเค้าจับได้ โดนเขาตีแล้วจับโกนผมเสียแถบหนึ่ง นอนร้องครวญครางอยู่ในห้อง แม่สงสารเขาจึงไปเยี่ยมพูดคุยด้วย   "เป็นอะไรไปล่ะ ?" เมื่อวาน
ยังดีๆอยู่เลย แม่ถาม   "แม่ไม่สบาย" นังลูกสาวรีบตอบ   "น้านอนค้างเป็นเพื่อนสักคืนไม่ได้เหรอ !?" นังลูกสาวถามต่อ  "ไม่ได้หรอกจ๊ะ... เป็นห่วงบ้านมา
หลายวันแล้ว" แม่ของ ผมตอบแค่นี้ ทำเอานางผีปอบแม่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร  "ฉันไม่มีใครเลย อยากให้แกค้างอยู่สักสองวัน พออุ่นใจ" ฝ่ายแม่นึกในใจ
อุ่นใจแกแต่ไส้ข้าจะไม่อยู่ให้อุ่นด้วยน่ะสิ.. แม่จึงโต้ว่า... "แต่ก่อนไม่มีฉัน แล้วใครอยู่ด้วยละ!?" นางปอบได้ยินแม่พูดอย่างนี้ก็เงียบ คงด่าในใจว่านังนี่รู้ทัน
พอตกเย็น วันนั้นก็กลับมานอนที่ประตูน้ำพระอินทร์ กะว่าพอประตูน้ำเปิดก็จะออกไปเลย พอตกกลางคืนถูกคนร้าย "รมยา"  อีก คราวนี้แม่หลับไม่ตื่น แต่พ่อเป็น
นักเลงเก่ามาก่อน ได้กลิ่นยารู้ทันที.. พ่อรีบลอยเรือไปจอดอีกฝั่งตรงกันข้าม เจ้าคนร้ายรมยาโมโหเอาไม้ขว้างเป็นการใหญ่  ต่อมา...วันรุ่งขึ้นก็กลับบ้าน
ครั้นมาอยู่บ้านได้ไม่เกินเดือนป้าก็ส่งข่าวว่า..."ลูกสาววัย 5 เดือนกำลังน่ารักน่าชัง ตายเสียแล้ว"  ผีปอบมันกิน ในวันที่ฝนตกใหญ่ น้ำขึ้นมามาก พวกผู้ใหญ่ขน
ของมาขายบนถนนโดยปล่อยเด็กไว้ในเรือ  ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ป้าเห็นลูกหลับก็ขึ้นมาขายของ พอหันไปเห็น มีคนผลุบเข้าไปในเรือ ก็รีบตาม
ลงไป   เสียงเด็กร้องวี้ดๆ !   ก็พอดีมองเห็นยายผีปอบตัวแม่วิ่งสวนทางขึ้นมา แต่ไม่ได้เฉลียวใจ เพราะเป็นคนกันเอง ครั้นลงไปในเรือ แทบสลบ  เพราะเด็ก
ขาดใจตายเสียแล้ว ทวารหนักกลวงโบ๋เลย ผีปอบเอาไส้พุงไปกินหมดแล้ว ป้าไม่รู้จะทำยังไงเพราะจับไม่ได้คาหนังคาเขา เวลาต่อมา ผีปอบสองแม่ลูก ก็ย้ายที่
อยู่หายไป นี่เป็นเรื่องที่แม่เล่าให้ฟัง   มาถึงเรื่องของแม่เพื่อนข้าพเจ้าบ้าง เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ......
           แม่ของเพื่อนท่ายป่วยก่อน และลูกๆได้ส่งโรงพยาบาลและรักษาจนหาย ร่างกายสมบูรณ์แล้ว และได้พากันกลับบ้าน วันนั้นเป็นวันที่เพื่อนข้าพเจ้ารับ
แม่กลับจากโรงพยาบาล โดยนั่งเรือมาตลอดทางมีแต่คนทักทายตลอด    "แม่เอ็งหายดีแล้วเหรอ" เพื่อนบ้านตะโกนถามตลอดทาง เรือแล่นมาเรื่อยๆ พอผ่าน
บ้านหลังหนึ่ง ก็มีคนถามแปลกๆ ว่า... "แม่หายแล้วหรือ...กลับมาแล้วหรือ?  แหม ! รอตั้งนาน.....!  "ทำไมต้องรอละป้า  !?" เพื่อนถามอย่างสงสัย
"ไม่มีอะไรหรอก....พูดไปอย่างนั้นเอง "    ครั้นมาถึงบ้าน แม่ยังรู้สึกสดชื่นดี เหมือนคนฟื้นไข้ทั้งหลาย คือเริ่มกินข้าวได้ กินได้สารพัด พวกเรารู้สึกเบาใจ เพราะรู้สึกว่าแข็งแรงดี  อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา.... แม่เริ่มมีอาการแปลกๆคือมีอาการเปลี่ยนไปทันทีทันใด คือเกิดไม่อยากกินข้าวกินน้ำ แม้แต่ยาที่หมอให้มา
ก็ไม่ยอมกิน ทั้งที่ตอนแรกกินตรงเวลาเป๊ะเลย เพราะอยากหายป่วยเร็วๆ พฤติการณ์นี้ยังความสงสัยมาสู่ ลูกๆ และคนที่มาเยี่ยม ต่างก็ซักไซร้ไล่เลียงกันถึง
ความผิดปกติ พอมีคนถามแกมากๆเข้า แกก็แว๊ดไล่ตะเพิด ไม่มีใครกล้าเข้าหน้าแก แต่ที่แน่ แกไม่ยอมมองหน้าคน   เวลาเอาข้าวไปให้กิน แกจะพูดว่า...
"ไม่ต้องเอามาให้มันกินหรอก ถึงยังไงมันก็ต้องตาย" แล้วก็หัวเราะแหบแห้ง  เกิดอะไรขึ้นกับแม่พวกเราสงสัย ..ตอนกลางวันแม่จะหลับตาตลอด แม่จะลืมตา
ในเวลากลางคืนเท่านั้น พวกเราเลยตกลงกันว่าจะเอาข้าวไปให้ในเวลากลางคืน  แต่ทุกคนเริ่มกลัวมีน้องเล็กคนเดียวที่กล้าเพราะปกติจะเป็นคนรักแม่มาก ติดแม่
พวกเรารออยู่ข้างนอก แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงตวาดแหวกอากาศออกมา  "กูไม่ให้มันกินหรอก มันต้องตาย กูรอเวลานี้มานานแล้ว"
แน่นอนแล้วต้องไม่ใช่แม่เราแน่แล้ว พวกเราชะโงกเข้าไปดูก็ใจหายวาบ  คุณพระช่วย แม่หน้าตาดุเหลือเกิน ปกติแม่เป็นคนอ้วนมากอยู่แล้ว แม้แม่ล้มป่วยก็ยัง
อ้วนอยู่  นี่....อนิจจา เพียงแม่ไม่กินข้าวเพียงสามวัน...    แม่ผอมดำแก้มตอบ...! หน้าตาก็ดำคล้ำ !!ที่ร้ายที่สุด ตาแม่เขียวปั๊ด เหมือนนัยน์ตาสัตว์  เวลาเราส่องไฟ
ตอนกลางคืน พวกเราต้องถอยกรูออกมาแทบไม่ทัน ครั้นพอรุ่งขึ้น แม่ก็นอนตามปกติ ไม่ยอมลุกออกมาตามเคย ไม่กินข้าวกินน้ำ พอตกกลางคืน กุ๊กๆ กั๊กๆ
อยู่ในห้อง พวกเรา พากันแอบดู  แกด่าสวนออกมาเสียน่ากลัวมากเลย... "มึง.....ไม่ต้องมาแอบดูกูหรอก แม่มึงตายแน่ !" พอได้ยินคำนี้ เราลงมติเลยว่า แม่โดน
ผีสิง ต้องหาหมอผีมาไล่แน่นอน และต้องเร็วด้วย ตกลงไปตามหมอผีมาไล่พอหมอขึ้นบ้าน แกตะโกนสวนออกมาว่า  "มึงไม่ต้องมาไล่กู ถึงยังไงกูก็ไม่ไปหรอก กูจะอยู่บ้านนี้ บ้านนี้มีของให้กูกินเยอะเลย"  พูดไม่พูดเปล่าพลางมองมาทางพวกข้าพเจ้า มันบอกของกินเยอะ คิดดูเถอะ  ข้าพเจ้าคิด  "ผีปอบ" ตนนี้ไม่กินของข้างนอก แต่ชอบกิน.."ตับไตไส้พุงมากกว่า"   เมื่อหมอผีโดนไม้นี้ก็เปิดไปเลย เพราะผีปอบไม่กลัวหมอผี เลยปรึกษากันว่าจะไปตามพระที่วัดมา
"พอพระมาถึง ผีก็ออกเสียแล้ว" เหมือนมันเป็นนกรู้เลย ไม่กล้าเผชิญหน้ากับพระ   แม่ตายสนิท.... ส่งกลิ่นเหม็นมาก  อย่างกับตายมาแล้วสัก 7 วัน  จึงต้องรีบ
เผาโดยสวดแค่คืนเดียว   พอเผาเสร็จข้าพเจ้ารีบกลับโดยมีเพื่อนตามมาอย่างกระชั้นชิดไม่ยอมอยู่บ้านเด็ดขาด  สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นขนลุกตลอดเวลา  เพราะ
เสียวปอบ  ไม่รู้ว่ามันหลบอยู่ไหน จะเข้าใครต่อก็ไม่รู้ เพราะยังไม่มีใครปราบ  มันฉลาดพอ เมื่อกินคนตายแล้วมันก็ออกเอง ไม่ต้องมีคนไล่ ตอนนี้ไม่รู้ว่าจ้อง
ใครเป็นอาหารต่อ  ไม่ทราบว่าเป็นผีปอบตระกูลเดียวกันกับที่กินหลานข้าพเจ้าหรือเปล่าเพราะพฤติกรรมคล้ายกันมาก   แต่ที่ร้ายกว่าก็คือ เข้าสิงกินเอาดื้อๆเลย
สงสัยถ้าเผลอเอาพระในคอออกมันคงสิงเอาเข้าให้ อันตรายนะครับ ในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครปราบมันได้ เพราะมันชิงหนีไปเสียก่อนเพราะฉะนั้นระวังตัวท่าน
ให้ดีๆนะครับ เพราะไม่รู้ว่าจะถึงคิวท่านเมื่อไหร่ ถ้าใครยังไม่มีพระเครื่องคล้องคอ ก็รีบไปหามาคล้องกันนะครับ จะหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะ.....

   ธีรธรรม