เยือนแดนสวรรค์
ดิเรก เป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ
45 ปี เขาได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องพลังจิตและสมาธิ จนมีญาณแก่กล้า สามารถถอดวิญญาณออกจากร่างเพื่อท่องเที่ยวไป
ในสถานที่ต่างๆ ได้ตามแต่ใจนึก อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้พบกับท่านเทพแห่งสวรรค์
ซึ่งในอดีตชาติแต่ปางก่อนเคยเป็นผู้ที่เกื้อหนุนกันมา ด้วยเหตุนี้ท่านผู้เป็นใหญ่
แห่งสวรรค์ ซึ่งอยากให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงชีวิตความเป็นอยู่อันสะดวกสะบายในวิมานอันสวยงามของชาวสวรรค์
เพื่อมวลมนุษย์จะได้เร่งกระทำแต่กรรมดี เพื่อจะ
ได้มาเสวยสุขเช่นนี้บ้าง จึงได้มีบัญชาให้ท่านเทพแห่งสวรรค์ มาเป็นผู้นำทางพา
ร่างทิพย์ของดิเรก ตะเวณเที่นวชมสวรรค์ชั้นต่างๆ อันได้แก่
1. สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
2. สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
3.สวรรค์ชั้นยามา
4. สวรรค์ชั้นดุสิต
5. สวรรค์ชั้นนิมมานรดี
6. สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวัตตี |
|
แต่เนื่องจากสวรรค์มีระยะทางกว้างไกลและยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะเที่ยวชมได้หมด
ท่านเทพสวรรค์จึงได้พาดิเรกลัดเลาะเที่ยวชมไปตามแต่จะสบโอกาศ และอีก
ทั้งยังหยุดเวลา บนโลกมนุษย์ของดิเรกไว้ เมื่อเขากลับมาเข้าร่างตามเดิมก็จะมีความรู้สึกเพียงว่า
หลับฝันไปชั่วคืนเดียวเท่านั้น "โอ้...ท่านเทพแห่งสวรรค์"
ดิเรกกล่าวขึ้นขณะที่เดินอยู่กลางสวนดอกไม้ ซึ่งมีหมู่พฤกษชาติพันธุ์ต่างๆ
กำลังออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรขจาย "มีอะไรหรือดิเรก" ท่านเทพแห่ง
สวรรค์ ซึ่งอยู่ในชุดอาภรณ์สวยหรูประดับด้วยแพรพรรณและสร้อยสังวาลสวยงามอีกทั้งมีรัศมีสว่างออกมาจากร่าง
หยุดเดินแล้วหันมาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"ที่นี่สวยงามยิ่งนัก กลิ่นดอกไม้ก็หอมชื่นใจเหลือเกิน ข้าพเจ้าอยากจะชื่นชมกับมันสักหน่อยได้หรือไม่"
"ได้สิ...คงไม่ใช่เพราะว่าเหนื่อยหรอกนะ เพราะตอนนี้
เจ้าอยู่ในร่างทิพย์ ซึ่งถอดวิญญาณออกมาจากร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องพระภายในบ้านของเจ้า
ย่อมจะไม่รู้จักเหนื่อยหรือหิวแต่อย่างใด"
"ถูกแล้วขอรับ แต่ข้าพเจ้าเพียงอยากเก็บภาพอันสวยงามของสวนดอกไม้พฤกษชาติแห่งนี้เอาไว้ในความทรงจำเท่านั้น"
"เจ้าฝึกฝนและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องจิตและ
สมาธิ ย่อมมีความจำที่ดีเลิศ แม้เรื่องราวเกี่ยวกับวิมานต่างๆ ที่ผ่านมา
เจ้าคงจะจำได้ดีหรอกกระมัง" "อ้อ....ข้าพเจ้าจำได้ดีทีเดียว แต่แรกท่านได้พาข้าพเจ้าไป
ชมปราสาทหลังหนึ่ง ซึ่งมาความสูง 5 ชั้น สร้างอย่างวิจิตรพิศดาร ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้อันสวยงาม
มีกลิ่นหอมกลุ่นทั้งคืนและวัน ปราสาทหรือวิมานหลัง
นั้นห้อมล้อมด้วยสระบัว รวมทั้งเหล่าต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง และแมกไม้ที่งดงาม
ครั้นได้เจอกับท่านเทพเจ้าของปราสาท ก็ได้ความว่าท่านเพียงสละทรัพย์เพียงเล็ก
น้อยช่วยในการกุศล แต่ทว่า ได้กระทำบุญนั้นด้วยความเต็มใจจึงมีอานิสงฆ์ให้ได้มาครองวิมานหลังนี้
นอกจากนั้นท่านเทพแห่งสวรรค์ยังได้นำข้าพเจ้าไปเที่ยวชม
ปราสาทอื่นๆ อีก เช่น ปราสาท 7 ชั้น ปราสาท 25 โยชน์
และวิมานแก้วมณี ซึ่งท่านเทพเหล่านั้นก็สร้างบุญกุศลเอาไว้มากน้อยแตกต่างกันไป"
"ถูกต้องแล้ว"
"ถ้าเช่นนั้นท่านจะพาข้าพเจ้าไปเที่ยวชมวิมานแห่งใดอีกหรือ" "มีมากมายบรรยายไม่หมดเชียวล่ะ...เจ้าจงติดตามเรามาเถิดแล้วจะเห็นเอง"
เพียงชั่วอึดใจเดียว
ท่านเทพแห่งสวรรค์ ก็ได้นำดิเรกมาหยุดยืน ณ.สถานที่หนึ่งซึ่งเป็นเนินสูงไม่มากนัก
แต่ ณ.จุดนี้สามารถมองเห็นวิมานจำนวนมากมายหลายสิบหลังตั้งอยู่เรียงราย
ห่างกันไปเป็นระยะๆ วิมานแต่ละหลังมีความสวยงามแตกต่างกันไป
"โอ..ท่านเทพแห่งสวรรค์...ที่นี่คือหมู่บ้านจัดสรรของชาวฟ้าหรือไฉน ไม่ใช่สิ
...น่าจะเรียก
หมู่วิมานจัดสรรจึงจะใกล้เคียงกว่า" "ใช่จำอยากรู้ไหมล่ะว่า
เจ้าของวิมานเหล่านี้เมื่อสมัยมีชีวิตอยู่ได้กระทำกรรมดีเช่นไรไว้บ้าง จึงได้มาเสวยสุขเช่นนี้"
"แน่นอนขอรับ....ขอกระผมได้ไปสอบถามหน่อย" ท่านเทพแห่งสวรรค์ได้เดินนำดิเรกเข้าสู่เขตวิมานหลังแรกซึ่งผู้เป็นเจ้าของคือนางเทพธิดามีใบหน้าสดสวย
ประทับนั่งอยู่บนวิมานที่มีรูปเป็นบัลลังก์ทองมียอดมีสัณฐานดังบุษบกสูงประมาณ
1 โยชน์ สามารถลอยไปมาในอากาศได้ตามแต่ใจนึก นางเทพธิดานั้นแต่งตัว
ด้วยภูษาอลังการเครื่องประดับงดงามใส่สังวาลตระการไปด้วยเครื่องทองและเพชรพลอยส่องประกายระยิบระยับ
ดิเลกรีบเข้าไปทำความเคารพพร้อมกับสอบถาม
ว่า "ท่านเทพธิดาผู้สง่างาม ท่านได้ประกอบบุญกุศลอันใดไว้หรือจึงได้ มาครอบครองวิมานอันสวยงามหลังนี้"
"อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย" ท่านเทพธิดากล่าวด้วย
น้ำเสียงที่ไพเราะและถ่อมตน "วิมานของเรานี้ สวยงามน้อยกว่าวิมาน 5 ชั้น
7 ชั้น และวิมาน 25 โยชน์ วิมานแก้วมณีที่ท่านเคยไปเยี่ยมชมมาก่อนหน้านี้เสียอีก"
ดิเรกพยักหน้าซึ่งหมายถึงว่าเป็นจริงตามที่นางเทพธิดาได้กล่าวมา
"แต่ข้าพเจ้าก็ยังอยากจะทราบว่าท่านได้สร้างบุญกุศลอันใดเอาไว้"
"เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ วันหนึ่งข้าพเจ้ามีความประสงค์ที่จะทำบุญกับพระภิกษุสาวกแห่งพระพุทธองค์
จึงตื่นแต่เช้านำเงินที่สู้เก็บออมถนอมไว้
จากหยาดเหงื่อแรงงานที่ได้ตรากตรำมา นำไปซื้ออาหารหลายอย่าง มีผักผลไม้เป็นต้น
นำมาต้มแกงจนสำเร็จดีแล้ว ก็ได้ไปนิมนต์พระสงค์รูปหนึ่งที่ผ่านมาพอดี"
"เพียงเท่านี้เองนะหรือ" "ถูกต้อง...ข้าพเจ้านั้น เมื่อพระสงค์ได้รับนิมนต์และเข้ามาในบ้านแล้ว
จึงจัดให้ท่านนั่งยังอาสนะที่เตรียมไว้ ซึ่งได้ทำความสะอาดไว้
อย่างดี ต่อจากนั้นก็นำอาหารมาถวาย ด้วยอานิสงฆ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าได้มาเกิดอยู่บนสวรรค์
และได้เป็นเจ้าของวิมานแห่งนี้" "แม้ว่าเป็นบุญกุศลเพียงน้อยนิด"
ท่านเทพแห่งสวรรค์อธิบายเพิ่มเติม "แต่นางก็ได้กระทำด้วยความเต็มใจและจิตใจเบิกบานยิ่ง"
"ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว" "ถ้าเช่นนั้นเราจะนำเจ้าไปยังวิมานอื่นๆ
ต่อ
ไป" "โปรดนำไปเถิดขอรับ" ดิเรกทำการคารวะนางเทพธิดาผู้เป็นเจ้าของวิมานแล้ว
จึงหลับตาลงเมื่อท่านเทพแห่งสวรรค์เอื้อมมือมาแตะเขาก็มีความรู้สึกว่า
ร่างกำลังล่องลอยไปอย่างรวดเร็ว "เอาล่ะ....ลืมตาได้แล้วดิเรก"
"ถึงแล้วหรือครับ ..ช่างรวดเร็วเสียจริง...โอ้โห...วิมานตรงหน้าข้าพเจ้านี้ช่างสวยงามยิ่งนัก
แต่
เอ๊ะ..วิมานหลังนี้ตั้งอยู่บนหลังคชสารนี่ขอรับ" "ถูกแล้วละ.....วิมานทองหลังนี้สูงถึง
30 โยชน์เชียวนะ แวดล้อมไปด้วยเหล่านางฟ้านางสวรรค์ถึง 1 พัน ประดับ
ไปด้วยเครื่องทอง อันรุ่งเรื่องสว่างไสวมีรัศมีส่องประกายเจิดจ้า"
เมื่อนางเทพธิดาผู้เป็นเจ้าของวิมานเห็นท่านเทพแห่งสวรรค์ก็ลงมาคารวะอย่างนอบน้อมพร้อม
กับกล่าวว่า "ท่านเทพแห่งสวรรค์ ท่านนำร่างทิพย์ของดิเรกมาเที่ยวชมวิมานของข้าพเจ้าด้วยหรือเจ้าคะ"
"ถูกต้องแล้วล่ะ...ด้วยบัญชาแห่งท่านผู้เป็นใหญ่แห่ง
สวรรค์ ซึ่งเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้ว เอาละดิเรกเจ้ามีอะไรจะถามก็เชิญเถิด"
"ขอรับ ข้าพเจ้าเพียงอยากทราบว่า ท่านเทพธิดาได้กระทำบุญกุศลเช่นไรไว้หรือขอรับจึง
ได้มาเป็นเจ้าของวิมานหลังนี้" ท่านเทพธิดายิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า
"ข้าพเจ้านั้นในสมัยพุทธกาลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เสด็จมาประทับอยู่ใน
เวฬุวนาราม ใกล้เมืองราชคฤห์ มหาชนทั้งหลายจึงตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงามด้วยความปิติยินดี
เพราะพระพุทธองค์พร้อมด้วยเหล่าสาวกมาประทับในเมืองครั้ง
นี้ ถือเป็นโอกาศดีที่จะได้สร้างบุญกุศลครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ในครั้งนั้นมารดาบิดาของข้าพเจ้าต้องการจะบริจากทาน
อันได้แก่อาหารคาวหวานต่างๆ ข้าพเจ้าจึงร่วมปรุง
ข้าวมธุปายาสและน้ำอ้อยต่อจากนั้นก็ได้ตกแต่งตั่งสำหรับให้พระสาวกที่รับนิมนต์มานั่งฉัน
โดยนำดอกบัวมาตกแต่งและปูด้วยแพรพรรณอย่างดียิ่ง อีกทั้งยัง
ประดับตั่งนั้นด้วยพวกดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมฟุ้งขจาย
ครั้นวันรุ่งขึ้น เมื่อสาวใช้ได้นำพระสารีบุตรมายังบ้านของข้าพเจ้า
ก็นิมนต์ให้นั่งยังตั่งอาสนะที่เตรียมไว้ พร้อมถวายข้าวมธุปายาสและน้ำ พร้อมทั้งอธิฐานจิตว่า
ด้วยบุญกุศลในครั้งนี้ ขอให้ได้สมบัติอันเป็นทิพย์รุ่งเรืองไปด้วยบัลลังก์ทองเหนือคชสารอันเป็นทิพย์
จง
บังเกิดแก่ข้าพเจ้า ครั้นเมื่อข้าพเจ้าสิ้นอายุไขก็ได้มาเกิดเป็นเทพธิดาคริงวิมานดังที่ท่านเห็นอยู่นี่แหละ
ซึ่งนับว่าการสร้างกุศลอันน้อยนิดของข้าพเจ้า"
"ไม่น้อยแล้วล่ะ..." ดิเรกกล่าวอย่างยินดี "เพราะคนที่ได้สร้างกุศลกับพระพุทธองค์และพุทธสาวกนั้น
มีโอกาสน้อยเต็มที" "ถูกต้อง... " ท่านเทพแห่งสวรรค์
กล่าวเสริมต่อ "ทั้งนี้เพราะว่า การที่คนเราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก
เมื่อตายลงไปแล้วผู้ที่กระทำกรรมชั่วย่อมต้องไปรับกรรมในนรก ซึ่งจะต้องถูกลง
ทัณฑ์แตกต่างกันไป ครั้งเมื่อหมดสิ้นเวรแล้วจะมาเกิดในลักษณะต่างๆ
กัน บ้างเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานอยู่หลายร้อยชาติ บางคนก็โชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์...
มีโอกาศได้กระทำกรรมดี แต่บางคนกลับกระทำกรรมชั่วเป็นการซ้ำเติมตัวเองเสียอีก
นับว่าเสียโอกาสเสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซะจริงๆ แม้ผู้ที่ได้มาเกิดเป็น
มนุษย์แล้วก็เถอะ แม้คิดจะทำกรรมดีก็นับว่าประเสริฐแล้วแต่การที่จะสร้างบุญกุศลกับพระพุทธเจ้าและเหล่าพุทธสาวกนั้น
เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ประการแรกคือ
เขาผู้นั้นเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่ใช่สมัยที่พระพุทธองค์ทรงดำรงชีพอยู่
ก็ถือว่าพลาดโอกาสไปซะอีก ประการที่สอง แม้จะเกิดไม่ทันแต่ได้เกิดในสมัยของพระ
พุทธสาวกที่สำเร็จอรหันต์ก็เป็นโอกาศที่ยากแล้ว
น้อยคนนักที่จะเกิดทันและได้กระทำบุญกับเหล่าพระอรหันต์
ประการที่สาม เมื่อเกิดไม่ทันในสมัยที่พระพุทธ
องค์ยังทรงดำรงค์พระชนชีพอยู่ และเกิดไม่ทันในช่วงที่พระอรหันต์พระพุทธสาวกยังดำรงค์ชีพอยู่
เขาก็จะได้เกิดในช่วงที่พระสงฆ์ทั่วไปซึ่งเป็นสาวกของพระ
พุทธองค์เช่นกันยังมีอยู่ในโลก ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสดีเช่นกัน
ทั้งนี้....เพราะมิใช่ว่า....มนุษย์จะโชคดีได้เกิดมาในช่วงที่พระพุทธองค์
พระอรหันต์เจ้าดำรงค์ชีพ
อยู่ก็หาไม่โอกาสมีอยู่น้อยนิด แม้ในยุคที่ยังมีพระสงฆ์อยู่นี่ก็เถอะ
เพราะพระพุทธองค์เคยทำนายไว้ว่า พุทธศาสนาจะดำรงค์อยู่ประมาณ 5000 ปี หลังจากที่พระ
องค์เสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว ฉะนั้นมนุษย์ที่เกิดมาในยุคปัจจุบัน
ยังนับว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสสร้างบุญกุศลกับพระสงฆ์ เพราะในการณ์ข้างหน้า
เมื่อศาสนาเสื่อมลง
ก็จะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว จนกว่าจะถึงยุคของพระศรีอาริยะเมตรัย
พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ซึ่งจะมาบังเกิดในโลกตามพุทธทำนาย เมื่อนั้นแหละมนุษย์จึงจะมี
โอกาสพบพระ ได้ทำบุญกับพระสงฆ์อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ
เร่งขวนขวายกระทำกรรมดีเอาไว้เมื่อยังมีโอกาสเถิด"
"ขอรับข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว" ดิเรกกล่าวอย่างนอบน้อม
"ข้าพเจ้าจะนำเรื่องราวที่ได้มาพบในวันนี้ไปถ่ายทอดให้กับมนุษย์ได้รับรู้
คิดว่าต่อไปพวกเขาจะมีน้ำใจ
ไมตรีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันมากขึ้น เพื่อความสุขสงบของชาวโลก"
"ดีแล้วล่ะ....เจ้าจงอำลานางเทพธิดาเสีย เราจะได้นำไปเที่ยวชมสวรรค์ต่อไป"
"ขอรับ"
ท่านเทพแห่งสวรรค์ได้นำดิเรกเที่ยวชมสวรรค์อีกหลายแห่ง
และในที่สุดก็ได้นำร่างทิพย์ของเขากลับเข้าร่างยังเมืองมนุษย์.......
ดิเรก
|